บริษัทในกลุ่มฮาคูโฮโด1 (“บริษัท”) เป็นบริษัทชั้นนำในการให้บริการเกี่ยวกับการจัดการสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ซึ่งในการดำเนินธุรกิจโดยปกติของบริษัทนั้น บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรงหรือจากแหล่งอื่นใด ในการนี้ บริษัทตระหนักถึงความสำคัญและเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้กำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามรายละเอียดที่ประกาศไว้ ณ ที่นี้
เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ 2562 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ ในอนาคต (“กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัทจึงจัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ (“นโยบาย”) ขึ้นเพื่ออธิบายรายละเอียดรวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคลากรของบริษัท เพื่อให้บุคลากรมีความเข้าใจและความตระหนักรู้ในการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงเพื่อให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมมาจะถูกประมวลผลโดยชอบด้วยกฎหมาย
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลธรรมดา ไม่ว่าในรูปแบบใด ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ
“ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด
“เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลได้บ่งชี้ไปถึง โดยในนโยบายนี้รวมไปถึง ลูกค้า คู่ค้า ผู้บริโภค ผู้สมัครงาน บุคลากรของบริษัท และบุคคลธรรมดาอื่นใดที่บริษัทมีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดานั้น และให้หมายรวมถึง ผู้ใช้อำนาจปกครองที่มีอำนาจกระทำการแทนผู้เยาว์ ผู้อนุบาลที่มีอำนาจกระทำการแทนคนไร้ความสามารถ หรือ ผู้พิทักษ์ที่มีอำนาจกระทำการแทนคนเสมือนไร้ความสามารถด้วย
“ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
“ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
“ประมวลผล” หมายถึง การดำเนินการหรือชุดการดำเนินการใดๆ ซึ่งกระทำต่อข้อมูลส่วนบุคคลหรือชุดข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะโดยวิธีการอัตโนมัติหรือไม่ เช่น การเก็บ บันทึก จัดระบบ จัดโครงสร้าง เก็บรักษา เปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยน การรับ พิจารณา ใช้ เปิดเผยด้วยการส่งต่อ เผยแพร่ หรือการกระทำอื่นใดซึ่งทำให้เกิดความพร้อมใช้งาน การจัดวางหรือผสมเข้าด้วยกัน การจำกัด การลบ หรือการทำลาย
“ฐานทางกฎหมาย” หมายถึง เหตุโดยชอบด้วยกฎหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ภายใต้นโยบายฉบับนี้ ประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย
ประเภท | รายละเอียด |
---|---|
1. ลูกค้า | บุคคลที่ซื้อสินค้าและ/หรือใช้บริการจากบริษัท และ/หรือ อาจจะซื้อสินค้าและ/หรือใช้บริการจากบริษัท หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน และให้หมายความรวมถึงบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นผู้แทน ตัวแทนหรือลูกจ้างของลูกค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลด้วย |
2. คู่ค้า | บุคคลที่เข้าเสนอราคาเพื่อขายสินค้า และ/หรือให้บริการแก่บริษัท หรือมีความสัมพันธ์อื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับบริษัท เช่น ผู้ให้บริการ ผู้รับจ้างอิสระ (Freelance) ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ คู่สัญญา หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (เช่น ดารา นักแสดง ผู้มีอิทธิพลบนสื่อออนไลน์) เป็นต้น และให้หมายความรวมถึงบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นผู้แทน ตัวแทนหรือลูกจ้างของคู่ค้าซึ่งเป็นนิติบุคคลด้วย |
3. ผู้บริโภค | บุคคลที่ใช้หรืออาจใช้สินค้า และ/หรือ บริการอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกค้า เช่น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาด ผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสินค้าและ/หรือบริการของลูกค้า ผู้ใช้บริการสื่อออนไลน์ เว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่น ซึ่งเป็นบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมและ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าในนามของตนเองในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือในนามของลูกค้าในฐานะผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจของบริษัทรวมถึงการให้บริการแก่ลูกค้าโดยปกติ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาวิจัยทางการตลาด การจัดทำสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมทางการตลาด เป็นต้น |
4. ผู้สมัครงาน | บุคคลที่อาจได้รับคัดเลือกเป็นบุคลากรของบริษัท โดยบริษัทอาจเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานเองโดยตรง หรือได้รับจากบุคคลภายนอกอื่นใด และให้หมายความรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน เช่น บุคคลในครอบครัว บุคคลอ้างอิง และบุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น |
5. บุคลากร | บุคคลที่ปฏิบัติงานหรือหน้าที่ใดๆ ให้แก่บริษัท และได้รับเงินเดือน ค่าจ้าง สวัสดิการ หรือค่าตอบแทนอื่นใดจากบริษัทเพื่อตอบแทนการทำงาน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงาน บุคลากร ผู้ฝึกงาน หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน และให้หมายความรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของดังกล่าว เช่น บุคคลในครอบครัว บุคคลอ้างอิง บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน ผู้รับผลประโยชน์ เป็นต้น ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบุคคลที่บริษัทจ้างงานเป็นครั้งคราวหรือมิได้บรรจุเป็นพนักงานของบริษัท ซึ่งบริษัทจะถือว่าเป็นคู่ค้าของบริษัท |
6. ผู้ถือหุ้น | บุคคลซึ่งถือหุ้นในบริษัทซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา และให้หมายความรวมถึงผู้กระทำการแทนหรือผู้รับมอบฉันทะของผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลธรรมดาหรือผู้ถือหุ้นประเภทนิติบุคคล |
7. บุคคลทั่วไป | บุคคลอื่นใดนอกเหนือจากบุคคลในประเภทข้างต้นที่บริษัทได้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น ผู้มาติดต่อ) ทั้งในกรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง หรือเก็บรวบรวมโดยอัตโนมัติจากการใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ หรือได้รับมาจากบุคคลภายนอก เช่น ผู้ที่ถูกบันทึกภาพโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และผู้ที่เข้าชมหรือใช้เว็บไซต์ของบริษัท เป็นต้น |
โดยทั่วไป บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากตัวเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง เช่น
ในบางกรณีบริษัทอาจได้รับหรือมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งอื่นหรือบุคคลที่สามที่ไม่ใช่จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรง เช่น การรับข้อมูลจากลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ผู้จำหน่ายหรือผู้ให้บริการของบริษัท รวมถึงแหล่งข้อมูลสาธารณะ เช่น เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลหรือให้บริการข้อมูล เป็นต้น ในกรณีดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(1) แจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงการที่บริษัทได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งอื่นหรือบุคคลที่สาม โดยไม่ชักช้าแต่ไม่เกิน 30 วันนับแต่วันที่บริษัทได้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และ
(2) แจ้งหรือส่งมอบประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ และ
(3) ขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยฐานความยินยอม ทั้งนี้ ยกเว้นในกรณีที่บริษัทจะต้องนำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไปใช้ในการติดต่อกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบเมื่อทำการติดต่อครั้งแรก และในกรณีที่บริษัทนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดเผย บริษัทจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบก่อนการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเปิดเผยเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีบริษัทอาจไม่ต้องดำเนินการตามข้อ (1) หรือ (2) ข้างต้น ในกรณีดังต่อไปนี้
(ก) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงรายละเอียดต่าง ๆ นั้นอยู่แล้ว เช่น ในกรณีที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานผ่านทางตัวแทนหรือเว็บไซต์จัดหางาน ผู้สมัครงานสามารถคาดหมายได้ว่าบริษัทรวมถึงองค์กรอื่นใดอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานผ่านตัวแทนหรือเว็บไซต์จัดหางานที่ผู้สมัครงานได้ติดต่อไว้เพื่อทำการสมัครงาน ดังนี้ บริษัทอาจไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้ผู้สมัครงานทราบว่าบริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานผ่านตัวแทนหรือเว็บไซต์จัดหางาน เป็นต้น
(ข) บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าการแจ้งข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถทำได้หรือจะเป็นอุปสรรคต่อการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท เช่น ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานหรือบุคลากร เช่น บุคคลอ้างอิง บุคคลในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น บริษัทอาจไม่สามารถหรือไม่สะดวกในการดำเนินการแจ้งถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลและแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ไปยังบุคคลดังกล่าวโดยตรงได้ อย่างไรก็ดี ในกรณีดังกล่าวบริษัทจะแจ้งให้ผู้สมัครงานหรือบุคลากรมีหน้าที่ในการแจ้งถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลดังกล่าวโดยบริษัทรวมถึงแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ไปยังบุคคลดังกล่าวแทนบริษัทด้วย และบริษัทจะถือว่าการที่ผู้สมัครงานหรือบุคลากรได้ส่งมอบข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัท ผู้สมัครงานหรือบุคลากรได้ดำเนินการแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ไปยังบุคคลดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
โดยในกรณีข้างต้น บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ภายใต้ฐานทางกฎหมายที่กำหนดไว้ในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งได้ถูกกำหนดเป็นแนวทางไว้ในนโยบายฉบับนี้ด้วย ดังนี้
ฐานทางกฎหมาย | รายละเอียด |
---|---|
(1) ฐานความยินยอม (Consent) | ในกรณีที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลโดยอาศัยฐานทางกฎหมายอื่นตามที่ระบุในข้อ (1) – (7) ของตารางนี้ บริษัทจะต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนหรือในขณะที่เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล โดยความยินยอมจะต้องประกอบด้วยหรือคำนึงถึงรายละเอียด ดังต่อไปนี้
|
(2) ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล (Vital Interest) | บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีมีความจำเป็นเพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพของบุคคลใด ๆ ซึ่งไม่จำกัดเพียงเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น เช่น กรณีบริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเนื่องจากอุบัติเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทไม่ต้องขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว |
(3) ฐานสัญญา (Contract) | บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีมีความจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับบริษัท หรือดำเนินการตามคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเข้าทำสัญญากับบริษัท เช่น กรณีการเข้าทำสัญญาหรือปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทและผู้สมัครงาน บุคลากร ลูกค้า คู่ค้า หรือบุคคลอื่นใดที่เป็นคู่สัญญาหรืออาจเข้าเป็นคู่สัญญากับบริษัท เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัทไม่ต้องขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว |
(4) ฐานประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) | บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีมีความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของบริษัท หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัท ทั้งนี้ บริษัทไม่ต้องขอความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว |
(5) ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interest) |
ในบางกรณี บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินธุรกิจโดยปกติของบริษัทและ/หรือบุคคลที่สาม เช่น
(ก) บริษัทหรือบุคคลที่สามมีผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวหรือไม่
(ข) การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีความจำเป็นต่อผลประโยชน์ตามข้อ (ก) หรือไม่ (ค) เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลพึงคาดหมายได้ว่าบริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวหรือไม่ (ง) การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือไม่ใช่เป็นกรณีที่อาจกระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมากหรือไม่ (จ) บริษัทมีมาตรการปกป้องดูแลข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลนั้นแล้วหรือไม่ |
(6) ฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (Legal Obligation) | ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้อาจรวมถึงการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งศาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตัวอย่างเช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างให้แก่กรมสรรพากร การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกจ้างไว้เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายการประกันสังคม การเก็บเอกสารทางบัญชีไว้เป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น |
ทั้งนี้ รายละเอียดในเรื่องของ ประเภท วัตถุประสงค์ และฐานทางกฎหมายของการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทนั้นจะปรากฏอยู่ในประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) สำหรับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลประเภทต่าง ๆ
บริษัทจะต้องพิจารณาและเลือกเก็บรวบรวมข้อมูลเพียงเท่าที่จำเป็น และทิ้งหรือทำลายข้อมูลที่เก็บรวบรวมหรืออาจได้มาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
ดังนี้ ในกรณีที่บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมเอกสารซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นบนเอกสารดังกล่าว เช่น การเก็บสำเนาบัตรประชาชนเพื่อประโยชน์ในการระบุตัวตนของบุคคล (เช่น ผู้สมัครงาน ลูกค้า คู่ค้า ผู้มาติดต่อ เป็นต้น) โดยปกติบริษัทจำเป็นต้องใช้เพียงข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปเท่านั้น (เช่น ชื่อ นามสกุล รูปภาพ) อย่างไรก็ดี เนื่องจากบนบัตรประชาชนอาจปรากฏข้อมูลศาสนาและหมู่โลหิต ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวและไม่จำเป็นต่อการระบุตัวตนของบุคคล อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ต้องได้รับความยินยอมก่อนการเก็บรวบรวมอีกด้วย ดังนั้น บริษัทจะต้องดำเนินการทำให้ข้อมูลดังกล่าวไม่ปรากฏบนสำเนาบัตรประชาชนก่อนการเก็บรวบรวม เช่น การขีดฆ่าข้อมูลที่ไม่จำเป็นในสำเนาบัตรประชาชนที่ตนได้รับมา เหลือเพียงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการระบุตัวตนเท่านั้น เป็นต้น
เมื่อใดก็ตามที่บริษัทจะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลประเภทต่าง ๆ เช่น ผู้สมัครงาน บุคลากรและผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า หรือบุคคลอื่นใดที่บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัท โดยประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) อย่างน้อยต้องประกอบด้วยรายละเอียด ดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ บริษัทจะต้องแจ้งหรือส่งมอบประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ให้กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนหรือขณะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยก่อนมีนโยบายนี้และบริษัทยังมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อไปอยู่ บริษัทจะต้องดำเนินการแจ้งหรือส่งมอบประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี ในกรณีที่บริษัทได้ว่าจ้างบุคคลหรือองค์กรอื่นใดเพื่อประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของบริษัท และซึ่งบุคคลหรือองค์กรดังกล่าวมีฐานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทอาจมอบหมายให้ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ เป็นผู้ดำเนินการแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) แทนบริษัท ซึ่งบริษัทจะต้องดำเนินการให้ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวปฏิบัติตามให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายนี้เฉกเช่นเดียวกัน และถือเสมือนว่าบริษัทได้ดำเนินการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามหน้าที่ที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว
บริษัทจะต้องพึงตระหนักว่าเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิที่จะดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคลของตนซึ่งอยู่ในความครอบครองของบริษัท ตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด ดังนี้ บริษัทจึงต้องจัดให้มีแบบคำร้องขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิต่าง ๆ กับบริษัท อย่างไรก็ดี ในกรณีที่บริษัทมีเหตุจำเป็นต้องปฏิเสธการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะต้องแจ้งเหตุแห่งการปฏิเสธดังกล่าวให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล | รายละเอียด |
---|---|
7.1 สิทธิเพิกถอนความยินยอม |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิเพิกถอนความยินยอมซึ่งได้เคยให้ไว้กับบริษัทผ่านหนังสือขอความยินยอม ไม่ว่าจะเป็นการเพิกถอนความยินยอมบางส่วนหรือทั้งหมด และสามารถกระทำได้ตลอดระยะเวลาที่บริษัทเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทจะต้องแจ้งถึงผลกระทบให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบเมื่อมีการเพิกถอนด้วย (ถ้ามี) อย่างไรก็ดี การเพิกถอนความยินยอมจะไม่กระทบถึงการใด ๆ ที่บริษัทได้กระทำไปแล้วก่อนหน้าอันเนื่องมาจากการได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมายจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เหตุปฏิเสธคำขอ: เป็นกรณีที่มีข้อจำกัดสิทธิในการถอนความยินยอมตามกฎหมายหรือเป็นกรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า |
7.2 สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่ตนไม่ได้ให้ความยินยอม เหตุปฏิเสธคำขอ: บริษัทอาจปฏิเสธคำขอบังคับตามสิทธินี้ได้ในกรณีต่อไปนี้เท่านั้น:
ทั้งนี้หากมีเหตุแห่งการปฏิเสธคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามสิทธิข้างต้น บริษัทจะต้องทำการบันทึกการปฏิเสธคำขอพร้อมเหตุผลไว้ในบันทึกรายการของบริษัทต่อไป ระยะเวลาการตอบสนอง: กรณีบริษัทไม่อาจปฏิเสธได้ บริษัทจะต้องดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคคลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอ |
1.1 สิทธิร้องขอรับและขอให้โอนหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัท หรือขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลไปให้แก่บุคคลหรือองค์กรอื่นในรูปแบบที่สามารถอ่านได้หรือใช้งานได้โดยทั่วไป รวมถึงมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองที่บริษัทหรือบุคคลหรือองค์กรอื่นที่ได้รับโอนไปเก็บรวบรวมไว้ การร้องขอนี้จะใช้ได้ในกรณีที่บริษัทได้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยได้รับความยินยอมหรือเพื่อปฏิบัติตามสัญญาหรือคำร้องขอก่อนทำสัญญาระหว่างเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับบริษัทเท่านั้น เหตุปฏิเสธคำขอ: บริษัทสามารถปฎิเสธคำร้องขอได้หากข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวนั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือการใช้สิทธินั้นเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น เช่น กรณีที่ข้อมูลดังกล่าวมีข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า หรือข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาเป็นส่วนหนึ่ง
ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า |
7.4 สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทได้ในกรณีต่อไปนี้: ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า และในกรณีที่บริษัทไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ บริษัทจะดำเนินการแยกส่วนข้อมูลส่วนบุคคลข้างต้นออกจากข้อมูลอื่นในทันทีนับแต่เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแจ้งการคัดค้านให้ทราบ |
7.5 สิทธิร้องขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอให้บริษัทลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ หรือทำให้เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ เมื่อ: เหตุปฏิเสธคำขอ: บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอได้ในกรณีที่ได้เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีต่อไปนี้
หากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยการกระทำของบริษัทหรือถูกโอนให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น และเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้มีคำขอให้ลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถระบุตัวตนได้ บริษัทต้องดำเนินการในการลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไม่สามารถระบุตัวตนได้ และต้องแจ้งผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ให้ดำเนินการเช่นว่าด้วย ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า |
7.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ เมื่อ: ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า |
7.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลอาจขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้หากมีเหตุแห่งการปฏิเสธคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตามสิทธิข้างต้น บริษัทจะต้องทำการบันทึกการปฏิเสธคำขอพร้อมเหตุผลไว้ในบันทึกรายการของบริษัทต่อไป ระยะเวลาการตอบสนอง: โดยไม่ชักช้า |
7.8 สิทธิการร้องเรียน | เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อเห็นว่าบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล |
บุคลากรทุกคนของบริษัทมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ รวมถึงจะต้องรักษาความลับในข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และไม่นำข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่การงานแก่บริษัทไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว หรือโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยอาจแบ่งหน้าที่ได้ ดังนี้
มีหน้าที่กำกับดูแลกระบวนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของบริษัท ดังนี้
มีหน้าที่ให้คำแนะนำและตรวจสอบกระบวนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดของบริษัท ดังนี้
มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นขั้นตอนในระดับการปฏิบัติการ ดังนี้
หมายเหตุ
การฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและ/หรือนโยบายนี้ของบุคลากร อาจถือเป็นเหตุลงโทษทางวินัยได้ และหากการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทอาจถือให้เป็นเหตุเลิกจ้างหรือเลิกสัญญาได้ นอกจากนี้ กรณีบุคลากรซึ่งกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวเป็นผู้กระทำการแทนบริษัท อาจต้องรับโทษทางอาญา ได้แก่ โทษปรับและ/หรือจำคุกเป็นการส่วนตัวด้วย ดังนั้น บุคลากรผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องศึกษากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและนโยบายนี้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ในกรณีที่บริษัทว่าจ้างหรือมอบหมายให้คู่ค้าของบริษัทดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับข้อมูลส่วนบุคคล และคู่ค้าดังกล่าวมีฐานะเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทโดยดำเนินการตามคำสั่งหรือในนามของบริษัท บริษัทต้องจัดให้มีข้อตกลงกับผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดหน้าที่ให้ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและนโบบายนี้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน้าที่ดังนี้
หมายเหตุ
กรณีคู่ค้าซึ่งเป็นผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือนโยบายนี้ของบริษัท อาจถือว่าเป็นการผิดสัญญาที่มีกับบริษัทด้วย และหากการฝ่าฝืนดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทอาจถือให้เป็นเหตุเลิกสัญญาได้
บริษัทจะต้องจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเชิงนโยบายและเชิงเทคนิคที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย เข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจหรือโดยมิชอบ และต้องทบทวนมาตรการดังกล่าวเมื่อมีความจำเป็นหรือเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสม ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
บริษัทจะต้องจัดให้มีการบันทึกการใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เก็บรวบรวม โดยมีรายการอย่างน้อย ได้แก่
ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลตรวจสอบได้ และสามารถบังคับตามสิทธิที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลแจ้งหรือร้องขอแก่บริษัท
ในกรณีบริษัทมีความจำเป็นต้องเปิดเผย ส่ง หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปนอกประเทศไทยหรือองค์กรระหว่างประเทศ บริษัทจะต้องดำเนินการให้แน่ใจว่า:
ในปัจจุบัน คณะกรรมการยังมิได้มีการกำหนดประเทศที่มีมาตรฐานเพียงพอและยังไม่มีการรับรองนโยบายการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างกันสำหรับบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังสามารถส่งข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศได้หากบริษัทได้จัดให้มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมสามารถบังคับตามสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ รวมทั้งมีมาตรการเยียวยาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ปัจจุบันกฎหมายยังไม่ได้กำหนดมาตรฐานดังกล่าวไว้แต่อย่างใด บริษัทจึงสามารถดำเนินการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ 2. จนกว่าจะมีการประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว
เมื่อมีเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้นภายในบริษัท โดยที่เหตุละเมิดนั้นมีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล บุคลากรที่เกี่ยวข้องจะต้องประสานงานกันเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยบริษัทจะต้องแจ้งการละเมิดดังกล่าวแก่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ชักช้าภายใน 72 ชั่วโมง นับแต่ที่ได้ทราบเหตุเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ในกรณีที่การละเมิดนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ให้บริษัทแจ้งเหตุการณ์ละเมิดให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบพร้อมแนวทางเยียวยาโดยไม่ชักช้าด้วย
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้อาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราวตามสมควร ทั้งนี้ตามการแก้ไขเพิ่มเติมของกฎหมาย และความเหมาะสมทางธุรกิจ
หมายเหตุ: นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและประกาศครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568
กรณีมีข้อสงสัยหรือคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายฉบับนี้ หรือกรณีมีความประสงค์จะแจ้งเหตุแห่งการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โปรดติดต่อ บริษัทวินเทอร์ อีเจนซี่ จำกัด แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 เบอร์โทรศัพท์ 02-254-6414 หรือ อีเมล์ info@winter.co.th